คำถาม-คำตอบทางพระพุทธศาสนา ประจำเดือนกรกฎาคม 2550 ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
หมายเหตุ: คำถามที่มีผู้ถามมา บางครั้งมีการตัดให้สั้นลงบ้าง ปรับปรุงสำนวนมิให้หยาบบ้างเพื่อให้ได้ภาษาไทยที่ผู้มีการศึกษารับได้ ใคร่ขอแจ้งว่า มีคนทั้งโทรศัพท์และอีเมล์มาขอให้ดูดวงให้เป็นจำนวนมาก ขอแจ้งให้ทราบว่าเวปไซต์นี้ไม่ได้รับดูดวงครับ มีข้อยกเว้นนานๆ ครั้งเมื่อผมเห็นว่าเดือดร้อนมากจริงๆ เท่านั้นเองครับ.
คำถาม 1 : อาจารย์ค่ะ เดี๋ยวนี้มีกะเทยเรียกร้องสิทธิ์กันมาก ไม่ทราบว่าศาสนาพุทธมีคำอธิบายเกี่ยวกับกะเทยไว้อย่างไรค่ะ? จริงหรือปล่าวที่พระเคยบอกว่าถ้าคบชู้กับคู่ครองคนอื่นแล้วจะเกิดมาเป็นกะเทย? (นวลจันทร์/พระโขนง)
คำตอบ: กะเทย (กระเทย) ตรงกับคำบาลีว่า ’อุภโตพยัญชนก’ หมายถึง ’คนมีอวัยวะทั้งสองเพศคือเพศชายและหญิง’ (อุภโต=2, พยัญชนะ=ลักษณะ) เพราะมี ’เครื่องหมายเพศ’ ของชายและหญิงอยู่ในคนๆ เดียว ส่วนอีกคำคือบัณเฑาะก์ (ตรงกับคำบาลีว่า ปณฺฑก) พึงทราบว่าการเกิดมาเป็นกะเทยนั้นไม่ใช่จำกัดเฉพาะมนุษย์เท่านั้น พระไตรปิฎกหลายเล่มเช่น พระไตรปิฎกเล่ม 1 (วิ.มหา.1/38/52) จำแนกไว้ว่ากะเทยมี 3 ประเภทใหญ่ๆ คือกะเทยที่เป็นมนุษย์, กะเทยที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน, กะเทยที่เป็นอมนุษย์
การเกิดมาเป็นกะเทย พระพุทธศาสนาระบุไว้ชัดว่าเกิดจากการประพฤติผิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร หมายถึงการลอบเป็นชู้กับสามีหรือภรรยาของคนอื่นในอดีตชาติ ดูตัวอย่างจากมหานารทชาดก (พระไตรปิฎกภาษาบาลีเล่ม 28/864/304-6) เนื้อความในพระไตรปิฎกภาษาบาลีกล่าวไว้ว่า
ตโต จุโตหํ เวเทห ทสนฺเนสุ ปสุ อหุ ํ
นิลุญฺจิโต ชโว ภทฺโร โยคฺคํ วุฬฺหํ จิรํ มยา
ตสฺส กมฺมสฺส นิสฺสนฺโท ปรทารคมนสฺส เมฯ
ตโต จุตาหํ เวเทห วชฺชีสุ กุลมาคมา
เนวิตฺถี น ปุมา อาสึ มนุสฺสตฺเต สุทุลฺลเภ
ตสฺส กมฺมสฺส นิสฺสนฺโท ปรทารคมนสฺส เมฯ (28/864/305)
ผมแปลเก็บความเป็นภาษาไทยว่า ‘กระหม่อมฉันจุติจากชาติที่เกิดเป็นลิงในภพก่อนนั้น
ก็ไปเกิดเป็นวัวในทสันนรัฐ เป็นวัวมีกำลังแต่ถูกตอน
กระหม่อมฉันถูกเขาเอาเทียมเกวียนอยู่สิ้นกาลนาน
นั่นคือผลกรรมคือที่กระหม่อมเคยคบชู้กับภรรยา
ผู้อื่น ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อม จุติ
จากกำเนิดเป็นโคนั้นแล้วก็เกิดเป็นกระเทยในตระกูล
ที่ร่ำรวยในแคว้นวัชชี การจะได้เกิดเป็นมนุษย์(หลัง
จากลักลอบเป็นชู้กับภรรยาเขา)นั้นยากจริงๆ นั่นคือ
ผลกรรมที่กระหม่อมคบชู้ภรรยาผู้อื่น’
ในมหากัสสปนารทชาดกนั้น ผู้เคยคบชู้ภรรยาคนอื่นมาสารภาพผิดว่า สาเหตุที่เกิดเป็นกะเทยเพราะคบชู้กับภรรยาผู้อื่น ความจริงแล้ว ต้องตกนรกหมกไหม้หลายปี ก่อนจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานประเภทต่างๆ เศษผลกรรมนั้นต่างหากทำให้เกิดเป็นมนุษย์กะเทย
ในทางปฏิบัติจริง ชาวพุทธควรเห็นใจกะเทยเพราะการเกิดมาโดยที่ร่างกายเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง หรือกายเป็นหญิงแต่ใจเป็นชายนั้น ไม่ได้เกิดจากการเสกสรรปั้นแต่งหรือดัดจริตเหมือนนักแสดงตลกแต่อย่างใด แต่เขาเป็นของเขาอย่างนั้นโดยธรรมชาติตั้งแต่เกิด
ดังนั้น ถ้ามีการเรียกร้องสิทธิที่สมควรจะได้ในฐานะเป็นมนุษย์ เช่น สิทธิในการแปลงเพศ จากนาย เป็นนางสาว หรือจากนางสาวเป็นนาย ถ้ารัฐสืบหรือพิจารณาแล้วได้ความว่านิสัยใจคอและจริตกิริยาของเขาเป็นกะเทยมาแต่กำเนิด ผมก็ว่าน่าส่งเสริมนะครับ ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายแต่อย่างใดเลย
ผมอยากอธิบายเสริมว่าแม้การเกิดเป็นกะเทยจะเกิดจากกรรมไม่ดีในอดีต แต่ก็เหมือนชายหรือหญิงจำนวนมากที่เกิดมาแล้วมีทุพพลภาพในรูปแบบต่างๆ เพราะกรรมเก่า เรื่องกรรมเก่านั้นเราต่างคนต่างก็มีไม่เหมือนกัน ตอนนี้ เราแก้ไขอะไรไม่ได้หรอกครับ นอกจากจะลิขิตตัวเองให้ดีด้วยกรรมใหม่ กล่าวได้ว่าเมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน ไม่ว่าเพศหญิง, ชายหรือกระเทย ต่างก็ยืนอยู่บนจุดเดียวกันทั้งนั้น นั่นก็คือสามารถลิขิตตัวเองด้วยกรรมในปัจจุบันได้เหมือนกัน อนาคตจะดีหรือเลวกว่านี้ก็ด้วยกรรมปัจจุบันที่ทำเหมือนกัน
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้วัดคนที่ความรู้ (วิชชา) และการกระทำ (จรณะ) ใครมีวิชาความรู้ดีและมีความประพฤติที่ดี สุจริตทั้งทางกาย วาจาและใจ ไม่ละเมิดศีลก็ได้รับการเคารพยกย่องกว่าคนที่ไม่มีศีลมีธรรม โดยนัยนี้ แม้จะเกิดมาเป็นหญิงหรือชายที่สมบูรณ์ แต่ถ้ามีพฤติกรรมน่ารังเกียจเพราะละเมิดศีลธรรมเป็นอาจิณ เช่น ยักยอกหรือลักขโมยสมบัติของคนอื่น, เอาเปรียบชาวบ้านเขา, ทุจริตฉ้อราษฏร์บังหลวงหรือสำส่อนทางเพศ ก็น่ารังเกียจกว่าคนที่เป็นกะเทยเป็นไหนๆ ครับ
นอกจากนั้น กระเทยที่รู้จักแยกแยะดี-ชั่วแล้วตั้งตนอยู่ในศีลธรรม ไม่ประมาทเหมือนชาติก่อน ต่อไปก็สามารถไปเกิดในภพภูมิที่ดี มีเพศสมบูรณ์แบบ ใช้ชีวิตที่สงบสุขยิ่งกว่าในชาตินี้เป็นไหนๆ ก็เป็นได้ ทำนองเดียวกัน ชายและหญิงที่มีเพศที่สมบูรณ์หากสำส่อนทางเพศหรือเป็นชู้กับสามีภรรยาคนอื่นเขาก็มีสิทธิ์ไปเกิดในนรก แล้วจากนั้นก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ก่อนจะมาเกิดเป็นกระเทยได้เช่นกัน ดังนั้น จึงไม่ควรประมาทเลย.
คำถาม 2: หลายอาทิตย์แล้ว ผมดูรายการสัมภาษณ์พระว.วชิรเมธีออกอากาศทางททบ. 5 ในช่วงวันวิสาขบูชาโดยคุณสัญญา คุณากรถามเรื่องจตุคามรามเทพ พระว.วชิรเมธีบอกทำนอง (เท่าที่ผมเรียบเรียงใหม่ครับ) ว่า ‘ในฐานะนักวิชาการ อาตมาอยากบอกว่าองค์จตุคามแม้จะได้รับยกย่องกันว่าเป็นอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ก็เป็นแค่พระโพธิสัตว์ กล่าวคือบุคคลที่อยู่ในช่วงบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า เปรียบเหมือนนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าแต่ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้ากล่าวคือยังไม่บรรลุ คล้ายๆ บุคคลที่ยังเรียนไม่จบ ท่านยังพึ่งตนเองไม่ได้เลย จะช่วยอะไรคนที่บูชาได้อย่างไร’ ผมเคารพองค์จตุคามรามเทพ แต่ไม่มีความรู้พอที่จะวิจารณ์ อยากให้ท่านอาจารย์อธิบายว่าจริงอย่างว.วชิรเมธีว่าหรือปล่าวครับ? (วิจารณ์/มหามกุฏราชวิทยาลัย)
คำตอบ: ผมไม่ได้ฟังไม่ได้ชมรายการ แต่ถ้าพระว.วชิรเมธีพูดออกอากาศอย่างที่คุณเขียนจริง พระ ว.วชิรเมธีก็อธิบายไม่ถูก เป็นนักวิชาการทางพระพุทธศาสนาต้องรู้จักแยกแยะความคิดเรื่องพระโพธิสัตว์ในเถรวาทออกจากมหายานและวัชรยาน
ในนิกายเถรวาทนั้น พระโพธิสัตว์คือผู้ตั้งใจบำเพ็ญบารมี 10 ทัศน์เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต พระโพธิสัตว์ตามทรรศนะของฝ่ายเถรวาทยังไม่ได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล ท่านเป็นเพียงกัลยาณปุถุชนที่อยู่ในขั้นตอนบำเพ็ญกัลยาณธรรม ให้มีบารมีสูงพอ เพื่อจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ถึงเรากราบไหว้ท่านก็ช่วยอะไรใครไม่ได้ ถึงจะบนบานเรียกชื่อท่านก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะท่านไม่ได้มีฤทธิ์เดชอะไร
แต่จตุคามรามเทพในนครศรีธรรมราชนั้น ชาวบ้านยกย่องนับถือว่าเป็น ‘พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์’ ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ฝ่ายมหายานและวัชรยาน ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ตามความเชื่อของฝ่ายเถรวาท อีกอย่างหนึ่ง นครศรีธรรมราชครั้งหนึ่งก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรศรีวิชัยซึ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นหลังอาณาจักรฟูนันเสื่อมลง ราชอาณาจักรนี้เคยนับถือลัทธิไศเลนทร์และพระพุทธศาสนานิกายมหายานด้วย ที่จริงชื่อพระโพธิสัตว์ก็บอกชัดอยู่แล้วว่าไม่ใช่เถรวาท ว.วชิรเมธีน่าจะพอรู้
ขออธิบายเพิ่มเติมว่าในทรรศนะทางมหายานนั้น พระโพธิสัตว์จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ก็ต่อเมื่อบำเพ็ญโพธิสัตวภูมิ 10 ประการได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้วเท่านั้น โพธิสัตวภูมิทั้ง 10 ประการนี้มีอธิบายรายละเอียดในคัมภีร์สันสกฤตของฝ่ายมหายาน ชื่ออวตังสกสูตร (เล่มนี้ฝรั่งแปลเป็นภาษาอังกฤษไว้หลายสำนวนโดยใช้ชื่อหลายชื่อ อาทิ Flower Garland Sutra, Flower Adornment Sutra, Flowers Ornament Scripture) ต้นฉบับเดิมเป็นสันสกฤตหากแต่เริ่มแปลสู่ภาษาจีนราวคริสตวรรษที่ 2
ฝ่ายมหายานนั้นถือว่า พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นี้ได้บำเพ็ญคุณธรรมที่จะเป็นพระพุทธเจ้าครบถ้วนสมบูรณ์แล้วและกิเลสพระองค์ก็หมดไปแล้วตั้งแต่ที่ทรงสำเร็จโพธิสัตวภูมิขั้นที่ 2 คือภูมิวิมละหมายความว่าเมื่อพระโพธิสัตว์บรรลุโพธิสัตตวภูมินี้แล้ว กิเลสอาสวะก็จะหมดโดยสิ้นเชิง แต่พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นี้หลังจากหมดสิ้นกิเลสแล้ว ท่านไม่ยอมเข้าสู่พุทธภูมิหากยับยั้งไว้ด้วยกำลังสมาธิ ศัพท์เทคนิคทางมหายานเรียกว่าท่าน เป็น ‘ธยานิโพธิสัตว์’ กล่าวคือเป็นพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญพุทธการกธรรมตามแนวมหายานครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว แต่ยับยั้งไว้ด้วยกำลังสมาธิไม่ยอมเข้าพุทธภูมิ ด้วยท่านตั้งความหวังเอาไว้ว่าจะโปรดสัตว์ให้หมดสิ้นไปเสียก่อนค่อยเข้าทีหลัง
เพราะเหตุนี้ มหายานจึงถือว่าพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์มีฤทธิ์เดชเหนือกว่าเทพทุกประการ กลายเป็นโพธิสัตว์ที่ได้รับการเคารพเหนือเทพทั้งปวงในจักรวาล มีฤทธิ์เดชที่จะดลบันดาลให้เกิดสุขต่างๆ เหนือใคร นอกจากพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์แล้ว พระโพธิสัตว์ที่อยู่ระดับเดียวกันก็มีท่านพระโพธิสัตว์มัญชุศรี พระโพธิสัตว์สมันตภัทร พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ เป็นต้น
เรื่องอิทธิฤทธิ์ของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ที่สามารถช่วยคนตกทุกข์ได้ยากในสถานการณ์ต่างๆ ผมอยากให้คนสนใจไปหาอ่านเพิ่มเติมในคัมภีร์สันสกฤตของฝ่ายมหายานชื่อ สัทธรรมปุณฑรีกสูตร บทที่ 24 ซึ่งบรรยายคุณธรรมและความสามารถของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ไว้อย่างชัดเจน คัมภีร์นี้ระบุด้วยว่าพระองค์สามารถจำแลงร่างเป็นผู้หญิงก็ได้ (เช่น เจ้าแม่กวนอิม) เป็นท้าวกุเวร ก็ได้ ฯลฯ ถ้าจำเป็นต้องใช้ร่างนั้นๆ ช่วยเหลือคน
นอกจากมหายานจะพัฒนาแนวคิดพระอวโลกิเตศวรไปมากแล้ว วัชรยานก็พัฒนาต่อไปอีกมาก โดยอธิบายว่าพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ คือร่างจุติของพระอมิตาภพุทธเจ้าและศักติของพระองค์ที่ชื่อว่าพระนางปัณฑารา พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ยังมีชื่อเรียกว่า ‘พระโพธิสัตว์พันตา’ (ษทากฺษรีโลเกศฺวร) ซึ่งมีไว้สอดส่องสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากเพื่อจะช่วยเหลือ ทั้งมหายานและวัชรยานต่างเชื่อร่วมกันว่าใครตกทุกข์ได้ยากแล้วร้องเรียกชื่อพระองค์ พระองค์ก็จะเสด็จไปช่วยเหลือ นี่คือความเชื่อหรือภูมิปัญญาที่เขาเชื่อกันมา
ฉะนั้น ถ้าคนในท้องที่เดิมเชื่อว่าจตุคามรามเทพคือพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ที่มีฤทธานุภาพมากมายเหนือพระโพธิสัตว์ทั่วไปเขาก็มีสิทธิ์จะคิดได้ เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นเขา จะเอาแนวคิดพระโพธิสัตว์แบบเถรวาทไปจับมหายานเหมือนว.วชิรเมธีคิดไม่ได้เพราะหลักคิดไม่เหมือนกัน.
คำถาม 3: หนูเรียนพยาบาลที่ศิริราชภาคฤดูร้อนที่อาจารย์เพิ่งบรรยายจบไปค่ะ อยากเรียนถามว่าท่านอาจารย์มีวิธีแก้เครียดทางพระพุทธศาสนาหรือปล่าวค่ะ? หนูชอบเอาเรื่องสัพเพเหระมาคิดมากจนเป็นไมเกรน ไม่ทราบว่าทางพระพุทธศาสนาสอนให้ลดความเครียดอย่างไรค่ะ? (จันทร์วิมล/จรัญสนิทวงศ์, กทม.)
คำตอบ: ในเชิงวิชาการทางแพทย์นั้นมีคำอธิบายในเวปไซต์ของภาควิชาจิตเวชศาสตร์คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีของมหาวิทยาลัยมหิดล คณาจารย์ท่า |