คำถาม-คำตอบประจำเดือนมิถุนายน
ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
*หมายเหตุ: เนื่องจากมีคนตั้งคำถามให้ตอบมาเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ฉบับมิถุนายนเป็นต้นไป จึงเพิ่มคำถาม-คำตอบออกเป็นเดือนละ 12 คำถาม ในการส่งคำถามเข้ามา จะขอบคุณมากหากระบุจังหวัดด้วยเพื่อจะได้รู้ว่าผู้ถามอยู่ที่ไหน
คำถาม 1: การเกิดเป็นผู้หญิงถือว่ามีเคราะห์กรรมมากกว่าผู้ชายจริงหรือไม่คะ และเคยได้ฟังมาว่าคนที่เกิดเป็นผู้หญิงนั้น ในอดีตชาติใดชาติหนึ่งต้องเคยประพฤติผิดพรหมจรรย์อย่างใดอย่างหนึ่งมาด้วย กรรมนั้นจึงต้องเกิดเป็นผู้หญิง จริงหรือไม่คะ? (นิชา /ไม่ระบุที่)
คำตอบ: เรื่องของ ‘ผู้หญิงในพระพุทธศาสนา’ ผมเคยอ่านงานวิจัยผ่านๆ มาเยอะครับ งานวิจัยใหม่ๆ ก็มากมาย เดี๋ยวนี้เขามีฉันทมติในหมู่นักวิชาการกันไปทั่วโลกแล้วว่าพระพุทธศาสนาช่วยยกสถานะของสตรีมากกว่าศาสนาพราหมณ์สมัยพุทธกาลหลายเท่านัก สถานะสตรีภายใต้อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ก่อนและร่วมสมัยพุทธกาลดูได้จากคัมภีร์ประเภทพราหมณะและธรรมศาสตร์ เช่น มนูสมฤติ ซึ่งบันทึกข้อมูลในสังคมอินเดียโบราณว่าพวกพราหมณ์กดขี่สตรีมากมายอย่างไร
ถ้าพูดในแง่สติปัญญา พระพุทธเจ้าทรงถือว่าสตรีก็มีความสามารถบรรลุธรรมได้พอๆกับบุรุษ และก็มีสตรีจำนวนมากออกบวชและได้ดวงตาเห็นธรรม (ครั้งหนึ่ง ผมเคยอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์อังกฤษว่านักศึกษาสายวิทย์และแพทยศาสตร์เก่งๆ ในอ๊อกซฟอร์ดและเคมบริดจ์ที่ได้รับรางวัลโดดเด่นทุกวันนี้มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย) สมัยพุทธกาลก็มีสตรีจำนวนมากออกบวชแล้วเป็นพระอรหันต์ เช่น พระนางเขมา ปัญญาเลิศคล้ายพระสาริบุตร, พระนางอุบลวรรณา มีฤทธิ์มากคล้ายพระมหาโมคคัลลานะ, พระนางปฏาจาราจำแม่นพระวินัยเหมือนพระมหากัสสปะ, พระนางธัมมทินนาฉลาดในทางแสดงธรรมเหมือนพระอานนท์หรือพระมหากัจจายนะ ฯลฯ ถ้าสนใจอ่าน ’วาทะ’ หรือ ‘คำสอน’ ของสตรีเหล่านั้นก็โปรดหาอ่านได้จากเถรีคาถาเองเถิดนะครับ
หลักทั่วไปก็คือสัตว์ทั้งปวง มีกรรมเป็นตัวชักพาให้ไปเกิด (กมฺมโยนิ) มีกรรมเป็นพันธุ (กมฺมพนฺธุ) ฯลฯ ทุกอย่างกรรมเป็นตัวออกแบบ คนจะเกิดเป็นหญิงหรือชายหรือกะเทยก็ล้วนแต่กรรมส่งให้เกิด สาระสำคัญคือพอเกิดแล้ว สุขหรือไม่สุขกับเพศที่ได้นั้นต่างหาก ผู้หญิงบางคนเกิดมาก็ทุกข์มาก เห็นผู้ชายสบายกว่าก็อยากเกิดเป็นชายก็มี ชายบางคนเกิดมาก็ทุกข์มาก เห็นผู้หญิงบางคนสบายกว่าก็อยากเกิดเป็นหญิงก็มี
แต่ก็มีหลายคนเกิดเป็นหญิงแล้วสุขมาก เพียบพร้อมทุกอย่าง จนไม่อยากเกิดเป็นเพศชายก็มี ทำนองเดียวกัน ก็มีผู้ชายหลายคนเกิดเป็นชายแล้วสุขมากจนไม่อยากเกิดเป็นเพศหญิงก็มี ฉะนั้น ถ้าไปถามคนที่เกิดเป็นหญิงแล้วมีความสุขมาก เขาย่อมไม่เรียกว่าตัวเองมีเคราะห์ หรือไปถามผู้ชายที่เกิดมาแล้วมีแต่ทุกข์ เขาก็คงไม่เรียกว่าโชค ทุกอย่างขึ้นกับว่าเราเกิดมาแล้วอยู่ในสภาวะไหนและใช้เพศที่เกิดมาแล้วหรือเป็นมาแล้วตั้งแต่เกิดปฏิบัติธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปหรือปล่าว
ปัญหาใหญ่ของคนทุกเพศก็คือทำอย่างไรเกิดมาแล้วจะได้สบาย? แน่นอนครับ ถ้าอยากเกิดแล้วมีความสุขในทุกๆ ชาติก็ต้องทำกุศลกรรม สมัยพุทธกาลมีสตรีนางหนึ่งนามว่ามัลลิกาถามคำถามที่หญิงทุกคนอยากถาม ที่จริงเธอก็เป็นเพียงธิดาของคนขายดอกไม้ แต่ทว่ามีบุญมากได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล
วันหนึ่ง พระนางเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วทูลถามประเด็นที่ ‘ผู้หญิง’ ทุกคนอยากทราบคือทำอย่างไรผู้หญิงถึงจะเกิดมาสวย, รวยทรัพย์และมีศักดิ์สูง เรื่องแบบนี้ รายการ ‘ผู้หญิงถึงผู้หญิง’ ควรเอาไปเล่า ใครใกล้ชิดก็ไปช่วยบอกทีนะครับ หลักคิดทางพระพุทธศาสนาจะได้แพร่หลาย พระพุทธเจ้าตรัสตอบ (องฺ.จตุกฺก. 21/197/275-6) สรุปใจความได้ว่า
1.ผู้หญิงที่มักโกรธ ไม่ชอบให้ทาน มีใจริษยาประจำ จะเกิดมามีรูปทราม (ไม่สวย) ยากจน และมีศักดิ์น้อย
2.ผู้หญิงที่มักโกรธ แต่ชอบให้ทาน ไม่มีใจริษยาใคร จะเกิดมามีรูปทราม แต่มั่งคั่ง มีทรัพย์มากและศักดิ์ใหญ่
3.ผู้หญิงที่ไม่มักโกรธ แต่ไม่ให้ทาน และมีใจชอบริษยามักจะเกิดมามีรูปงาม แต่ยากจน แถม มีศักดิ์น้อย
4.ผู้หญิงที่ไม่มักโกรธ ทั้งให้ทานและมีใจไม่ริษยา เกิดมาแล้วทั้งมีรูปงาม (สวย) ทั้งมั่งคั่งมีทรัพย์มาก ทั้งมีศักดิ์มาก
เพราะฉะนั้น ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าก็โปรดสำรวจหรือประเมินตัวเองก็แล้วกันนะครับว่ าด้วยพฤติกรรมที่เป็นอยู่ตอนนี้ ถ้าบังเอิญตายไปแล้วจะเกิดเป็นคนสวย,รวยทรัพย์และมีศักดิ์สูงหรือปล่าว เรื่องความหล่อ ความรวยและความมีศักดิ์สูงสำหรับผู้ชาย พระพุทธเจ้าก็สอนคล้ายกัน
ปรกติแล้วการได้เกิดเป็นหญิงเป็นชายในชาตินี้ไม่ได้ผูกขาดว่าจะเป็นเพศใดเพศหนึ่งตลอดไปนะครับ ชาตินี้เป็นชายชาติหน้าอาจเป็นหญิง ชาตินี้เป็นชายชาติหน้าอาจเป็นกะเทย หรือคนเป็นกะเทยชาตินี้ ในชาติต่อไป อาจเกิดเป็นหญิงหรือชายได้ โดยเฉพาะพวกสำส่อนทางเพศ จะไปเกิดในเพศไหนก็จะมีวิบากกรรมตามไปคอยเบียนไม่ให้มีความสุขในชีวิตคู่
สมมติว่าทั้งหญิงและชายต่างเกิดมาในชาตินี้บนโลกใบนี้และอยู่ในสถานะพอๆ กัน เช่น ต่างฝ่ายต่างเป็นบุตรหรือธิดาตระกูลมั่งคั่ง ใครจะได้เปรียบใครก็โปรดพิจารณาดูภาพรวม พิจารณาแล้ว ผู้หญิงมีข้อเสียมากกว่าผู้ชายครับ ข้อเสียผู้หญิงที่ด้อยกว่าผู้ชายเท่าที่ผมอ่านพระไตรปิฏกผ่านๆ มี 4 ข้อ:-
ข้อที่ 1 ผู้หญิงเป็นพระเจ้าจักรพรรดิไม่ได้ แต่ผู้ชายเป็นได้ ข้อนี้มาในพระไตรปิฎก เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย (20/164-166/35-36) พระบาลีกล่าวไว้ว่า อฏฺฐานเมตํ ภิกฺขเว อนวกาโส ยํ อิตฺถี ราชา อสฺส จกฺกวตฺติ แปลว่า ‘ดูกรภิกษุทั้งหลาย เป็นไปไม่ได้ที่สตรีเพศจะพึงเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์’ แต่ทำบุญมากๆ ก็อาจมาเกิดเป็นผู้ชายและเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ได้
ข้อที่ 2 ผู้หญิงเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ แต่ผู้ชายเป็นได้ ข้อนี้มาในพระไตรปิฎก เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย (20/165/37) พระบาลีกล่าวไว้ว่า อฏฺฐานเมตํ ภิกฺขเว อนวกาโส ยํ อิตฺถี อรหํ อสฺส สมฺมาสมฺพุทฺโธ แปลว่า ‘ดูกรภิกษุทั้งหลาย เป็นไปไม่ได้ที่สตรีเพศจะพึงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า’ พูดง่ายๆ ก็คือผู้หญิง ถ้าอยากเป็นพระพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญบารมีให้ครบ แล้วค่อยมาเกิดเป็นชายจึงค่อยได้เป็น
ข้อที่ 3 ผู้หญิงเป็นท้าวสักกะไม่ได้ เป็นมาร (หมายถึงผู้ที่เกิดเป็นเทวดาในขั้นปรนิมมิตวสวัสดี) ไม่ได้ เป็นพรหมไม่ได้ แต่ผู้ชายเป็นได้ พระบาลีกล่าวไว้ว่า อฏฺฐานเมตํ ภิกฺขเว อนวกาโส ยํ อิตฺถี สกฺกตฺตํ กาเรยฺย, มารตฺตํ กาเรยฺย, พฺรหฺมตฺตํ กาเรยฺย แปลว่า ‘ดูกรภิกษุทั้งหลาย เป็นไปไม่ได้เลยที่สตรีเพศจะพึงเป็นท้าวสักกะ, เทวปุตรมารและเป็นพระพรหม’
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ เพราะตำแหน่งท้าวสักกะในเทวโลกชั้นดาวดึงส์เป็นตำแหน่งผู้นำสำหรับเทวดาผู้ชาย ผู้เกิดในเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสดีก็ล้วนเป็นเพศชาย คือไม่มีเพศหญิงในเทวโลกชั้นนี้ ส่วนในพรหมโลกนั้น แม้ไม่มีเพศหญิงหรือเพศชาย แต่สัณฐานทรวดทรงก็เหมือนบุรุษ จึงสรุปได้ว่าไม่มีพรหมที่เป็นผู้หญิง ที่จริงก็ไม่ยากอีกนั่นแหละ อยากเป็นท้าวสักกะ, มารและพรหมก็ปฏิบัติธรรม ’เฉพาะด้าน’ ปฏิบัติอย่างจริงจังก็ได้ไปเกิดเอง คือได้เปลี่ยนเพศนั่นเอง เช่น อยากเป็นท้าวสักกะก็บำเพ็ญวัตตบท ๗ ประการ, อยากเกิดเป็นพรหมก็เจริญพรหมวิหาร 4 หาไม่ก็เจริญสมาธิจนบรรลุฌานสมาบัติ ฯลฯ เป็นต้น
ข้อที่ 4 ความเป็นเพศหญิงทำให้ต้องมีภาระเดือดร้อนหลายอย่างที่ผู้ชายไม่มี ข้อนี้มาในอาเวณิกสูตร พระไตรปิฎกสังยุตตนิกาย (สํ.ส.18/461-466/296-7) พระพุทธเจ้าตรัสว่าเพศหญิง (มาตุคาม) มีลักษณะต่างจากชาย กล่าวคือต้อง 1.ไปอยู่ตระกูลสามี โดยไม่มีญาติตามไปดูแลด้วย 2. มีระดูหรือประจำเดือนที่ผู้ชายไม่มี ทำให้ผู้หญิงมีอารมณ์ไม่แน่นอนกว่าผู้ชาย 3.อุ้มท้องมีครรภ์ ที่ผู้ชายไม่มี 4.คลอดลูก ซึ่งต้องลำบาก แต่ผู้ชายไม่ต้อง 5. ต้องปรนเปรอหรือปรนนิบัติผู้ชายต่างๆ นานา
โดยเฉพาะประเด็นที่ 4 นี้ชี้ชัดว่าผู้หญิงต้องแบกรับมากกว่าผู้ชาย ทำให้เพศหญิงต้องลำบากมากกว่าเพศชาย นอกจากนั้น ยังต้องพิจารณาดูข้อเท็จจริงว่าตามปรกติ ผู้ชายมีกำลังและแข็งแรงกว่าผู้หญิง ซึ่งสามารถกดขี่และเอาเปรียบผู้หญิงได้ง่าย
ถ้าสังคมมนุษย์ไม่รู้ธรรมและปฏิบัติธรรมจริงจัง ผู้หญิงก็จะถูกผู้ชายทำร้ายหรือเอาเปรียบมาก เหมือนสมัยโบราณที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ประวัติศาสตร์ทุกๆ ชาติล้วนแล้วแต่เคยบันทึกถึงผู้หญิงถูกผู้ชายกระทำไปต่างๆนานา แสดงให้เห็นว่าพิจารณาทางกายภาพแล้ว ผู้ชายได้เปรียบ
ถ้ามานั่งตรองดูว่าเหตุใดถึงต้องเกิดมาเป็นหญิงแล้วต้องมาถูกกระทำ เราก็จะพบว่าพระพุทธศาสนาได้สอนว่าชาติก่อนก็คงกระทำชั่วบางอย่างจึงต้องมาเสวยกรรมเก่า นั่นก็แปลว่าการเกิดเป็นหญิงและต้องถูกเอาเปรียบนั้นส่วนหนึ่งก็คงมาจากกรรมเก่า เราจึงอนุมานต่อไปได้ว่าการได้เกิดมาเป็นชายที่มีกำลังวังชามากกว่า และไม่ถูกใครเอารัดเอาเปรียบได้ง่ายเหมือนผู้หญิงก็ต้องเป็นเพราะกรรมดีในอดีตนั่นเอง ซึ่งก็ถูกต้อง
ถ้าพิจารณาดูเหตุผลทั้งหมดแล้วจะเห็นว่า 1.พระพุทธเจ้ายกย่องสติปัญญาผู้หญิงว่าทัดเทียมผู้ชาย กล่าวคือมีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมได้ดุจกัน 2. ประเด็นที่ทำให้ผู้หญิงด้อยกว่าผู้ชายเป็นเรื่องทางกายภาพ ซึ่งในความเป็นจริง ต้องยอมรับกันว่าในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ดังนั้น ก็ขึ้นกับความพอใจส่วนตัวว่าต่อไปอยากเกิดเป็นเพศอะไร ถ้าคิดว่าเพศของตนที่มีนั้นดีอยู่แล้ว ก็รักษาศีล มีธรรมะแล้วอธิษฐานหรือถ้าคิดว่าอยากเกิดเป็นเพศชายก็รักษาศีล ประพฤติธรรมแล้วตั้งสัตยาธิษฐาน สมัยพุทธกาลก็เคยมี เช่น พระนางโคปิกา ไม่อยากเกิดเป็นสตรีเพศอีก ก็รักษาศีลประพฤติธรรม อธิษฐานจิตก็ได้ไปเกิดเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์นามว่าโคปกเทพบุตร 3.พระพุทธเจ้าทรงระบุไว้จริงๆ ว่ามีบางอย่างที่เพศชายได้เปรียบเพศหญิง กล่าวคือ เป็นพระพุทธเจ้า, เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์, เป็นพรหม, เป็นมารในชั้นปรนิมมิตวสวัสดีและเป็นท้าวสักกะ สถานะเหล่านี้มีแต่บุรุษเท่านั้นเป็นได้
บางคนคิดว่าพระพุทธเจ้าไม่ค่อยยุติธรรม คิดไปว่าทรงเหยียดสตรีต่ำกว่าบุรุษ แต่ความจริงก็อย่างที่ผมกล่าวไว้แต่ต้น เพศชาย-หญิงนี้ไม่มีใครผูกขาด คนเราและสัตว์เปลี่ยนเพศไปเรื่อยในสังสารวัฏนี้ตามแต่กรรมที่ก่อ ความเสมอภาคซึ่งเป็นหลักสำคัญอยู่ที่พระพุทธเจ้าทรงให้ ’ธรรม’ เป็นใหญ่ อย่ามองแคบๆ เพียงชาตินี้ชาติเดียว ต้องมองทั้งระบบ ใครประพฤติธรรม คนนั้นก็จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี มีความสุขเสมอครับ.
คำถาม 2: สามีดิฉันแยกกันอยู่กับภรรยาเก่า เขาส่งเสียเลี้ยงดูตามอัตภาพ แต่ภรรยาเก่าไม่ยอมจดทะเบียนหย่าให้ ต่อมาเขามาชอบพอกับดิฉัน ญาติพี่น้องของเขายืนยันว่าเขาแยกกับภรรยาเก่าจริง และพยายามขอหย่าโดยไม่อยากทำเรื่องฟ้องร้อง ถึงวันนี้ดิฉันอยู่กินกับสามีมากว่า 10 ปี ซึ่งเขาแสดงให้ญาติและ เพื่อนรับทราบว่าดิฉันเป็นภรรยา แต่เรื่องหย่าก็ยังคาราคาซัง ญาติๆของเขาก็เห็นใจดิฉัน อยากให้ฟ้องเพื่อจะได้หมดเรื่องกันไป ถึงวันนี้ดิฉันสนใจการปฏิบัติธรรม เมื่อศึกษาธรรมะมากขึ้นแล้ว ดิฉันกังวลว่าดิฉันกำลังผิดศีลข้อ 3 อยู่หรือไม่ ดิฉันเกรงว่าจะไม่สามารถรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้ (แนน/ไม่ทราบจังหวัด)
คำตอบ: ผมดีใจที่คุณมีเจตนารักษาศีลข้อ 3 ให้บริสุทธ์สมแก่ที่เป็นพุทธศาสนิกชน ระมัดระวังแม้แต่เรื่องเล็กน้อย แสดงว่าจิตใจมีพื้นฐานหิริโอตตัปปะสูง
คำถามคุณเป็นคำถามที่น่าถามมาก เพราะสมัยนี้ ภรรยาหรือสามีมีกิ๊กมีชู้กันมาก การจะมีชีวิตอยู่ให้มีธรรมะต้องมีสติอย่างมาก การสำส่อนทางเพศหรือมีชู้นั้นมองดูผิวเผินเหมือนกับเป็นเรื่องสนุกสนาน แต่ถ้าดูผลกรรมอันจะเกิดจากการเป็นชู้กับสามีและภรรยาเขาในอนาคตชาติ ต้องบอกว่าไม่คุ้มกันเลย ใครสนใจค้นคว้า ไปอ่านมังคลัตถทีปนี ฉบับบาลี (เล่ม 2/160) จะเห็นตัวอย่างราชบุตร 4 พระองค์ในกรุงพาราณสี ทรงทำตัวเป็นไฮโซที่ชอบตีท้ายครัวภรรยาชาวบ้านเขา ต้องเกิดเป็นสัตว์นรก หมกไหม้ในโลหกุมภีทั้ง 4 โอดครวญอยู่เป็นแสนๆ ปี ป่านนี้ก็คงยังหมกไหม้อยู่เหมือนเดิม
ผมดูกรณีคุณแล้ว ไม่เข้าข่ายกาเมสุมิจฉาจารครับ เหตุผลที่ผมตอบอย่างนี้เพราะคุณไม่ได้มีเจตนาที่จะไปเป็นชู้กับสามีคนอื่นเขา ก่อนหน้าที่คุณจะตัดสินใจอยู่กินกับสามีคนปัจจุบัน ก็มีคนช่วยยืนยันว่าสามีได้หย่าขาดจากภรรยาเก่าในทางปฏิบัติแล้ว
องค์ประกอบในการละเมิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร (มงฺคลตฺถทีปนี เล่ม 1/205)
|