ตอบข้อหนึ่งหวังอย่างยิ่งว่าจะมีประโยชน์ต่อผู้ใฝ่รู้ทุกท่าน
1) โดยหลักทั่วไปซึ่งเราๆจะทราบในการศึกษาเล่าเรียนมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนั้นว่าการที่จะนับว่าศาสนาใดจะถือว่าเป็นศาสนาหรือไม่นั้น ศาสนานั้นจะต้องมีพระเจ้าองค์เดียว แต่เมื่อศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้าคงมีแต่พระพุทธเจ้าซึ่งนับว่าเป็นเพียงแค่ศาสดาเท่านั้น แล้วทำไมจึงนับว่าพุทธ เป็นศาสนาด้วย ทำไมไม่นับว่าเป็นแค่ลัทธิ
ตอบโดยย่อ คำว่าศาสนาประกอบขึ้นด้วยสิ่งสามประการ คือ
1 ศาสดาผู้กอ่ตั้ง ผู้ประกาศ ผู้เผยแผ่บุคคลแรก เช่น ศาสนาคริต มีพระเยซูเป็นศาสดา นับถือบูชาพระยะโฮวาเป็นทีพึ่ง ศาสนาอิสลาม มี พระนมีมูฮัมหมัด เป็นศาสดานับถือบูชา พระอัลเลาะเป็นที่พึ่ง ศาสนาพราหม กระผมไม่ทราบต้นเค้าศาสดาแต่มี นับถือบูชา พระพรหม พระศิวะ พระนาราย เป็นต้น
ส่วนศาสนาพุทธ มี พระพุทธเจ้า เป็นศาสดา ท่านเคารพนับถือความจริงไม่นับถือสมมติอันปรุงแต่งนิยามรูปลักษณ์ท่านนับถือเคารพบูชาพระธรรมอันเป็นความจริงเพราะตัดความสมมติออกได้ท่านค้นพบด้วยปัญญา เช่น วันคืนมีการเกิดดับอยู่เป็นนิจ ความทุกข์สุขมีความเกิดดับ อารมณืมีความเกิดดับ มีเกิดจึงมีตาย มีกลางวันจึงมีกลางคืน มีกลางคืนจึงมีกลางวัน มีเกิดจึงมีตาย มีตายจึงมีเกิด ดังนี้เป็นต้น คำตอบแห่งความเหล่านี้ล้วนเกิดแต่เหตุเมื่อพบเหตุจึงพบผลของเหตุเหล่านั้นทั้งหลายโดยไม่มีส่วนเหลือ เพราะเหตุทั้งหลายมีการเกิดดับเป้นธรรมดา ผลต่างๆก็ดับเพราะเหตุดับ ดังหัวใจของคำสอนที่ว่า ทุกข์เกิดขึ้นมีอยู่ เพราะเหตุแห่งทุกข์มีประการต่าวๆ ดังนั้นความดับไปแห่งทุกข์ทั้งหลายเพราะความดับไปแห่งเหตแห่งทุกข์ เมือ่พระพุทธเจ้าค้นพบถึงตอนนี้ ท่านจึงค้นต่อว่า เมื่อทุกข์ทั้งหลายมีอยู่ เพราะมีเหตุเป็นทำให้เกิด เมื่อดับเหตุแห่งทุกข์ได้ทุกข์ทั้งหลายจึงดับ ก็อะไรเป็นเหตุเป็นทางให้ถึงความดับทุกข์ พระองค์จึงค้บพบทางสายกลางเพื่อปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์คือมรรค8 เป็นต้นโดยย่อคำสอนอย่างอื่นๆก็มีลักษณะอย่างนี้ เพราะมีเหตุจึงมีผล เพราะผลจึงมีเหตุ เพราะเหตุดับผลจึงดับ เพราะผลดับเหตุจึงดับ ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงไม่นับถือพระเจ้าใดๆ จะ เคารพนับถือแต่ความจริงมีเหตุและผลเท่านั้น และที่เรียกว่าพระพุทธเจ้าเพราะเหตุดังนี้ พระใช้นำด้วยความเคารพ พุทธ แปลว่าผู้ร้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานคำว่า เจ้า นั้น พระท่านเป็นเจ้าชายแห่งสากยวงศ์บุตรแห่งพระเจ้าสุโทธนะ
2 คำสอนอันเป็นหลักธรรมเอกเทศ เป็นข้อวัตรปฏิบัติ เช่น ศาสนา อิสลาม มีการบูชาพระเจ้าโดยการทำละหมาด การไม่กินเนื้อที่ศาสดาห้าม เป็นต้น ศาสนาคริต เช่น การถือตามโอวาส 10 ประการ ตามคำสอนของศาสดา ศาสนาพราหม ถือการอาบน้ำชำระบาป การบูชายันต์ บูชาไฟ เป็นต้น ข้อคำสอนอื่นแตกต่างกันไปอีกมากไม่ขอกล่าว
ส่วนศาสนาพุทธมีคำสอนหลักๆเช่น กรรมดีชั่ว ทางกายก็ดี ทางวาจา หรือทางใจก็ดี กรรมดีให้ผลเป็นดี กรรมชั่วให้ผลเป็นชั่ว กรรมดีมีผลเป็นสุข กรรมชั่งให้ผลเป็นทุกข์ กรรมแปลตามภาษาไทยว่า การกระทำใดๆทางกาย ทางวาจา ทางใจโดยอาศัยเจตนาเข้าประกอบ กรรมดีทางกายเช่น การนอบน้อมต่อผู้ใหญ่ ต่อบิดามารดา ผลเห่งกรรมนี้คือที่รักที่ชอบใจของบุคคลทั้งหลาย กรรมดีทางวาจาเช่น การพูดคำจริง การพูดเพื่อสมานสมัคคี การพูดคำไพเราะอ่อนหวาน พูดเหล่านี้ล้วนให้ผลเป็นสุข กรรมดีทางใจ เช่น คิดการให้ คิดความเมตตาไม่เบียดเบียน ไม่พยาบาท เป็นต้น ส่วนกรรมชั่วให้ผลเป็นชั่วก็นัยตรงกันข้ามเป็นต้น คำสอนหลักอย่างหนึ่ง ให้ทำความดีประการต่างๆอันไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น การไม่ทำชั่วทั้งปวงเพื่อความไม่เดือดร้อนใจในภายหลัง และการทำใจให้ผ่องแผ้ว โดยอาศัยคุณธรรมมีศีล 5 เป็นต้นยังคุณธรรมที่สูงขึ้นให้บังเกิดมีสมาธิในระดับต่างเพื่อประโยชน์สูงสุดคือเป็นฐานให้ปัญญาได้พิจารณาสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง การบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าและพระอรหัตผู้หมดกิเลศ สิ้นทุกข์ เข้าถึงพระนิพพาน ตัดวงจรแห่งสงสารจักร การไม่กำเนิดในพบภูมิใดๆ อีก เรื่องนี้เป็นธรรมลึกซึ้งไม่สะดวกอธิบายเพราะจะยาวขอจบไว้แต่เท่านี้ สรุปคำสอนของพระพุทธเจ้าย่อจากทั้งหมด 84000 บท คือ 1 ศีล การเว้นจากการประพฤติชั่วทางกาย วาจา 2 สมาธิ ความสงบระงบทางใจ 3 ปัญญา อาศัยทางสายกลางคืออริยมรรคมีองค์ 8 พิจจารณากายและจิตโดยความเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ของตน เมื่อ ศีล สมาธิ ปัญญา ถึงความแก่รอบบริบูรณ์ การบรรลุธรรมครั้งที่หนึ่งจะเกิดขึ้น เรียกว่าบรรลุโสดาบัน เป็นการก้าวข้ามเข้าสู่ความเป็นพระอริยะ คำว่าโสดาบันแปลว่าผู้ไม่ตกต่ำ จะตัดทางไปอบาย มีนรก เปรต อสุรกาย และเดรัชฉาน จะเกิดในมนุษย์อย่างมาก 7 ชาติ จะทำที่สุดแห่งทุกข์เข้าสู่พระนิพพานแน่แท้ ส่วนการบรรลุธรรมสูงขึ้นไปอีกมี สกตาคามี อนาคามี และอรหันจะยังไม่กล่าวในที่นี้
3 สาวก ในศาสนาพุทธเรียกว่าพระสงฆ์ แบ่งออกเป็นสองประเภท 1 สมมุติสงฆ์ ยังมิได้บรรลุพระโสดาบันขึ้นไป ละกิเลศ ด้วยการใช้ศิลกดไว้ ยังอยู่ขั้นปฏิบัติ ยังมีกิเลศ โลภ โกรธ หลง ยังไม่แน่ว่าจะพ้นอบายหรือไม่ พระสงฆ์เหล่านี้จัดเป็นสมมติสงฆ์ 2 อริยสงฆ์ ตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันผู้บริสุทธิ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ทำลายกิเลศทั้งหลายมี โลภ โกรธ หลงได้อย่างสิ้งเชิงเมื่อดับขันธ์ทั้งสุดท้ายจะเข้าสู่พระนิพพานไม่เกิดในกำเนิด4มีเกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในตรม หรือเกิดโดยผุดขึ้นเรียกว่าโอปปาติกะ มีเทวดาและพรหมเป็นต้น พระอรหันทั้งหลายเมื่อดับขันธ์แล้วกระดูกที่ทิ้งไว้ในโลกย่อมแปรเปลี่ยนเป็นพระธาตุคล้ายแก้วมณีโดยแน่นอน ความจริงแม้ชาวพุทธก็หาคนเข้าใจเรื่องเหล่านี้น้อยเพราะไม่ค่อยศึกษา เมื่อไม่เข้าใจก็พากันคิดเห็นเอาแบบอย่างพระสงฆ์ที่เป็นสมมติสงฆ์เป็นประมาณ เพราะมีไม่น้อยเป็นเพียงมารศาสนาหวังลาภสักการะมิได้ปฏิบัติในธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ขอท่านจงอย่าได้มองสงฆ์เหล่านี้เป็นประมาณ นี้มิใช่สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า พระสงฆที่แท้จริงคือพระอริยสงฆ์ที่มีแล้วในอดีตเช่นพระสารีบุตร พระโมฆลานะ พระมหากัสสปะ พระอานนท์ เป็นต้น หรือในยุคกึ่งพุทธกาลเช่นหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่แหวน หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ชา และพระธุดงที่กระดูกกลายเป็นพระธาตุแล้วจำนวนมาก เป็นต้น
นี้คือสามประการใช้ในการบัญญัติศาสนา ส่วนลัทธินั้นไม่ประกอบด้วยองค์3นี้ |